วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

10 เหตุผลที่ทำให้คุณยังไม่มีไอเดียพลิกชีวิต

1. เพราะคุณยังมีแรงกดดันไม่พอ

ไม่ว่าคุณกำลังรู้สึกสบายใจกับชีวิต มีเงินพอใช้หรือไม่ ถ้าตราบใดที่คุณรู้สึกว่า “ไม่ต้องดิ้นรนหรอก ชีวิตแบบนี้แหละเราว่าก็ใช้ได้แล้ว” นี่คือคำพูดของคนที่กำลังหยุดพัฒนาคุณภาพชีวิตตัวเอง

2. เพราะคุณยังชอบอยู่ใน Comfort Zone

ไม่มีอะไรอันตรายมากไปกว่าการทำอะไรซ้ำๆโดยที่ไม่พยายามหาสิ่งใหม่ให้กับชีวิต โลกใบนี้มีคนเยอะมากๆ คนธรรมดาๆที่ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ยังไงก็สู้คนธรรมดาที่กำลังเป็นคนใหม่เพราะทำแต่สิ่งใหม่ไม่ได้อยู่แล้ว

3. เพราะคุณคิดเล็ก

มีปราชญ์ฝรั่งบอกว่าการหาเงินล้านยากกว่าการหาเงินพันล้าน ถ้าคุณไม่ปรารถนาจะสร้างเงินล้าน คุณย่อมไม่มีทางทำได้ การยอมรับว่าอยากมีฐานะที่ดีขึ้นจะนำไปสู่เส้นทางที่มันควรจะเป็น

4. เพราะคุณไม่เคยออกกำลังกาย

ผมพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่าการออกกำลังกายเป็นประตูขั้นแรกสุดของการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างยิ่งใหญ่ ถ้าคุณออกกำลังกาย สมองของคุณจะโล่ง โปร่ง เบาสบาย ซึ่งมันเป็นสภาวะที่ก่อให้เกิดไอเดียเปลี่ยนชีวิตที่คุณจะต้องตกตะลึงเลย การันตี


5. เพราะคุณไม่อ่านหนังสือดีๆ

การอ่านหนังสือคือการขโมยประสบการณ์จากคนอื่น มันช่วยทำให้คุณประหยัดเวลาในชีวิตได้มาก หนังสือดีๆช่วยเปิดโลกทัศน์ให้คุณได้ มีคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกมากมายที่ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง มันคุ้มสุดๆที่จะอ่าน

6. เพราะคุณฉลาดเกินไป

ทำไมประเทศจีนมันเก่งจังวะ อ๋อ เพราะคนมันเยอะไง ประเทศมันเลยโต ทำไมประเทศสิงคโปรมันเก่งจังวะ อ๋อ เพราะคนมันน้อยไง ประเทศมันเลยคุมง่าย คนฉลาดเกินไปมักจะมีตรรกะที่เข้าข้างตัวเอง และหาเหตุผลที่จะสนับสนุนเพื่อที่จะหาข้ออ้างไม่ลงมือทำ

7. เพราะคุณศรัทธาระบบการศึกษาไทย

ระบบการศึกษาไทยมักบอกว่าเรียนเก่งเท่ากับชีวิตที่ดี ทั้งๆที่ในโลกความจริงการเรียนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความสำเร็จเลย การศึกษามันเป็นเรื่องที่ต้องทำทั้งชีวิต ใครหยุดก็แพ้

8. เพราะคุณเอาความกลัวมาเป็นประเด็น

ลูกค้าไพ่ Tarot ของผมที่ประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจทุกคน ผมถามว่าตอนเริ่มทำธุรกิจ คุณไม่กลัวเหรอ รู้ไหมครับ ว่าเขาตอบว่าอย่างไร เขาตอบผมว่า “กลัว แต่อยากทำ” ทำทั้งๆที่กลัวนั่นเเหละคือความกล้า

9. เพราะคุณไม่ลงมือทำ

ชีวิตทุกคนแสนสั้น พ่อแม่พี่น้องคนที่เรารัก รวมไปถึงตัวเรา ลองถามตัวเองว่าถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิตคุณ นี่คือชีวิตที่คุณต้องการหรือเปล่า ถ้าไม่ คุณจะเริ่มทำอะไรเพื่อความสุขของตัวเองและครอบครัว

10. เพราะคุณไม่เห็นความฝันของตัวเอง

ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการไม่ยอมฟังเสียงร่ำร้องของหัวใจตัวเองอีกแล้ว ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มีความฝัน คนรวยจะจ่ายเงินเพื่อให้คุณไปทำตามความฝันของเขาให้เป็นจริง ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ได้โปรด…!!! หยุดฟังเสียงคนอื่นแล้วหันมาใส่ใจกับเสียงร่ำร้องของความฝันตัวเองเสียที เพื่อตัวคุณเอง เพื่อคนที่คุณรัก

17 เหตุผลที่ควรรู้ว่าทำไมถึงทำธุรกิจไม่รุ่ง

สมัยนี้คนส่วนใหญ่หรือนักศึกษาจบใหม่เริ่มมีความคิดที่ไม่อยากจะทำงานประจำกันหมด อยากจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองกันทุกคน แต่บางคนไม่มีความรู้ไม่มากพอ บางคนไม่มีเงินทุน แต่บางคนก็เริ่มธุรกิจของตัวเองได้ แต่ว่าทำไปทำมากลับล้มเหลว วันนี้เราเลยนำเสนอ 17 เหตุผลที่ควรรู้ว่าทำไมถึงทำธุรกิจไม่รุ่ง

1. ไม่มีที่ปรึกษาที่ดี
การหาที่ปรึกษาที่ดีไม่ใช่การปรึกษาเพื่อนร่วมงานหรือมนุษย์เงินเดือนด้วยกัน เพราะเราก็จะได้แต่ทัศนคติและมุมมองเดิมๆ ส่วนใหญ่ที่คนทำธุรกิจแล้วล้มเหลว เพราะเลือกที่จะปรึกษาคนระดับเดียวกันที่ยังไม่เคยทำธุรกิจ เลยทำให้นอกจากจะขาดแนวทางที่ดี ยังขาดการเข้าใจปัญหาที่ถูกต้องอีกด้วย

2. เลือกคนผิด
หลายคนตัดสินใจทำธุรกิจครั้งแรกด้วยความไม่มั่นใจ เลยดึงเอาคนอื่นมาร่วมกันทำธุรกิจเพื่อเป็นหุ้นส่วน ประเด็นคือการหาหุ้นส่วนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ที่ทำให้ล้มเหลวจริงๆ ก็คือการตกลงผลประโยชน์กันไม่ได้ บางคนหุ้นส่วนทิ้งงาน ทะเลาะกับลูกค้า มีความคิดเห็นขัดแย้งกันเองเป็นต้น เหมือนดั่งคบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตพาไปหาผล

3. ใช้เงินคนอื่นลงทุน
ตรงนี้ขัดแย้งกับความเชื่ออันเดิมของผมเป็นอย่างมาก หนังสือการเงินส่วนใหญ่สอนให้ใช้เงินคนอื่น แต่นี่คือสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ธุรกิจเราล้มเหลว เพราะการเอาเงินคนอื่นมาลงทุน จะทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของเงิน ไม่รู้ว่าสิ่งที่เอามาลงทุนนั้นมีมูลค่าขนาดไหน คล้ายๆกับพ่อแม่ซื้อโทรศัพท์มือถือ iPhone ให้ กับเราเก็บตังค์เพื่อซื้อโทรศัพท์ iPhone เอง ความรัก ความภูมิใจ การถนอมธุรกิจมันแตกต่างกัน

4. อายที่จะเป็นนักขาย
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ คนที่เริ่มทำธุรกิจครั้งแรกหลายคนไม่กล้าที่จะเป็นนักขาย บริษัทใหญ่จะเจริญเติบโตและมีรายได้ ได้อย่างไรถ้าไม่มีระบบการขายที่ดี ธุรกิจเล็กๆ จะรอดได้อย่างไร ถ้าการขายเป็นสิ่งที่ถูกละเลย ดังนั้นทักษะด้านการขายถือว่าสำคัญสุดๆ

5. ซ้ำจนเกร่อ
รู้ไหมครับว่าคนทำธุรกิจส่วนใหญ่แล้วล้มเหลวนั้น ส่วนใหญ่นั้นมาจากธุรกิจอะไร ธุรกิจส่วนใหญ่ที่ทำแล้วล้มเหลวเป็นจำนานมากนั้นมาจากธุรกิจขายกาแฟนั่นเอง โชคดีในยุคนี้คือกาแฟกลายเป็นของทานเล่นที่คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนใช้กินกัน ร้านกาแฟไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้าหาจุดที่ไม่ซ้ำคนอื่นไม่ได้ โอกาสรอดก็ยาก

6. คิดว่าเงินธุรกิจคือเงินตัวเอง
ข้อนี้เป็นเรื่องที่ประหลาดใจมากๆ เพราะคนทำธุรกิจส่วนใหญ่ที่ประสบความล้มเหลวมักจะบอกว่า ทำแล้วไม่มีกำไร พอผมถามถึงเรื่องต้นทุนกับการขายปรากฏว่ามีกำไรแน่ๆ และพอได้พูดคุยสอบถามกันไปสอบถามกันมา กำไรของธุรกิจ ถูกเอามาใช้กับเรื่องส่วนตัวหมด เลยทำให้กำไรเป็นขาดทุนทันที

7. หาลูกน้องดีๆ ไม่ได้

ข้อนี้สำคัญเลยทีเดียว ใครก็ตามที่เปิดร้านแล้วต้องมีคนเฝ้าร้าน ดูแลร้าน น่าประหลาดที่การหาลูกน้องเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ในยุคนี้ หลายๆร้านเจ้าของต้องลงไปทำเอง ซึ่งกำไรที่ได้ไม่คุ้มค่าตัวตัวเองแน่ๆ เลยทำให้ต้องต้องตัดสินใจปิดร้านไปโดยปริยาย บางคนได้ลูกน้อง แต่เอาลูกน้องมาดูปุ๊บยอดตก เพราะได้ลูกน้องค่าแรงถูก แต่บุคลิกหรือการพูดกับลูกค้าไม่ได้เลย บางคนหนักหน่อย โดนขโมย

8. อีโก้แรง
การเป็นมนุษย์เงินเดือนคุณจะง้อหรือไม่ง้อลูกค้าก็ได้ เพราะว่าบริษัทคือส่วนเสียหาย ไม่ใช่พนักงาน แต่การทำธุรกิจนั้นจำเป็นที่ต้องง้อลูกค้าอย่างมหาศาล ตราบใดที่รายได้ยังไม่สะพัด เพราะกำไรของธุรกิจส่วนใหญ่จะเกิดจากการซื้อซ้ำนั่นเอง

9. ขาดความมั่นใจดื้อๆ
เวลาที่ลงทุนทำอะไรแล้วไม่เป็นไปอย่างที่คิด สิ่งแรกสุดที่เราต้องทำก็คือ หาสาเหตุให้ได้ก่อนว่าเพราะอะไรทุกอย่างถึงไม่เป็นไปตามความคิด แต่คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลว พอเจออุปสรรคที่นอกเหนือจากที่วางแผนเอาไว้ ก็ท้อใจ และขาดความมั่นใจเอาดื้อๆ ทำให้หลายๆ ครั้งปัญหาเล็กๆ กลายเป็นสวิตช์ปิดตายความสำเร็จไปเลย

10. เจอเรื่องไม่คาดฝัน
ม็อบปิดถนน คู่แข่งมาเปิดแข่ง หุ้นส่วนทะเลาะกันแล้วขอแยกยกเลิกการเป็นหุ้นส่วนกัน ลูกน้องทิ้งร้านไม่ดูแล ลูกค้าไม่พอใจแล้วโวยวาย เป็นต้น สาเหตุเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ล้วนได้ชื่อว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งนั้น ทำให้จำใจต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย

11. ศรัทธา Passive Income มากจนเกินไป
จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเจ้าของไม่ลงมาทำเอง หนังสือต่างๆ มากมายรวมไปถึงนักพูดส่วนใหญ่เอา Passive Income เอามาใช้อย่างสวยหรู แน่นอน หลักประกันของ Passive Income มีสองอย่าง คือหนึ่งระบบคุณต้องแข็งแรงมาก และสอง ลูกน้องหรือผู้ร่วมธุรกิจของคุณ นั้นจะต้องรักคุณมากๆ จนไม่กล้าทำให้คุณผิดหวัง ส่วนใหญ่ไม่มีทั้งสองทาง เลยติดกับดักของ Passive Income

12. ไม่มีเวลา
มีลูก พ่อแม่ป่วย ย้ายบ้าน ย้ายที่ทำงาน การไม่มีเวลาดูแลธุรกิจเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะทำธุรกิจเติบโตไปได้ เพราะการที่เราจะประสบความสำเร็จอะไรสักหนึ่งธุรกิจนั้นได้ จะได้ใช้เวลา ศึกษา ใช้เวลาลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะหากเราไม่มีเวลาให้กับธุรกิจที่เราจะทำขอแนะนำว่าอยู่เฉยๆจะดีกว่า เพราะคำว่าไม่มีเวลา

13. ดูถูกธุรกิจตัวเอง
ทัศนคติเป็นเรื่องชี้เป็นชี้ตายสำหรับธุรกิจเลยทีเดียวก็ว่าได้ หลายๆคนมักจะดูถูกสิ่งที่ตัวเองทำ บางคนเรียนสูง เปิดร้านกาแฟแต่ไม่ยอมลงมาทำเอง ไม่มาดูแลลูกค้า ศึกษาความต้องการของลูกค้า เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่สมศํกดิ์ศรีการเรียนของเขา ความจริงคืออะไรที่หาเงินได้แล้วถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม มันไม่มีคำว่าเสียศักดิ์ศรี

14. ลงทุนไม่รู้จักจบจักสิ้น
การเป็นคนชอบความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งดี แต่หลายๆครั้ง เงินทุนและกำไรทั้งหมดเอาไปลงทุนเพื่อความสมบูรณ์แบบ ทำให้ต้นทุนของธุรกิจสูงจนน่าใจหาย สุดท้ายได้กำไรมาเท่าไหร่ ต้องหมุนเป็นเงินลงทุนหรือไม่ก็ดอกเบี้ยธนาคารทั้งสิ้น

15. คิดว่าการเริ่มต้นคือความสำเร็จ
หากคิดว่าความสำเร็จคือการเริ่มต้น นั่นเป็นความคิดที่น่ากลัวมาก หลายคนมักจะรู้สึกว่าตัวเองนั้น ประสบความสำเร็จแล้วหลังจากตัดสินใจลงมือทำธุรกิจ แต่แท้จริงแล้วคนที่เขาประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงทุกคน จะสอนหรือแนะนำเหมือนกันหมด ว่าการเริ่มต้นยากและเหนื่อยที่สุด ดังนั้นคุณต้องทำใจการเริ่มต้นคือการเริ่มเหนื่อย มันยังไม่ใช่ความสำเร็จ

16. ทุกอย่างเป็นความผิดของคนอื่น
การ เมือง เศรษฐกิจ เพื่อนร่วมงาน หุ้นส่วน พ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงมิตรสหาย และเลวร้ายที่สุด คู่แข่ง และที่เลวร้ายที่สุด โทษ “ลูกค้า” การโทษคนอื่นเป็นการง่ายที่จะทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ผิด แต่คนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยล้วนเป็นคนที่โทษตัวเองเป็นอันดับแรกทั้งสิ้น ข้อดีของการโทษตัวเองคือมันจะได้รู้จุดที่ปรับเปลี่ยนตัวเองทัน แล้วเอาไปใช้เพื่อหาเงินหาทองครับ

17. หมดแรงก่อนถึงเป้าหมาย
อันนี้เป็นเหตุผลที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุด ความขี้เกียจ ท้อแท้ หมดแรงเป็นศัตรูตัวร้ายอยู่ทุกวงการอยู่แล้ว หลายๆ คนทำธุรกิจด้วยความอยากทำ พอทำแล้วก็เกิดความขี้เกียจแล้วพาลไม่อยากทำ ถ้าคุณรักในสิ่งที่คุณทำ คุณจะไม่มีวันขี้เกียจ เหตุผลเดียวที่คุณยังคงขี้เกียจ แสดงว่าคุณยังไม่มีเป้าหมายชีวิตที่อยากไปให้ถึงนั่นเอง คนที่มีชีวิตที่ดีคือคนที่สู้แล้วไม่ยอมแพ้ คุณคือนักสู้หรือเปล่า ถ้าใช่ ขอให้จดจำ 17 ข้อนี้ให้ดี แล้วชีวิตคุณจะพบเจอจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม

และนี่ก็คือเหตุผลทั้งหมดว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงได้ทำธุรกิจแล้วล้มเหลวกันทั้งนั้น เพราะขาดเป้าหมาย ความอดทน ไม่มีเวลา และที่สำคัญขาดความรู้ ฉะนั้นก่อนจะเริ่มทำธุรกิจขอให้คิดดีๆก่อนว่าเรารักมันจริงๆ มีความรู้มากพอ หากคิดว่าพร้อมแล้วก็ลุยเลย

การโปรแกรมตัวเองสู่ความสำเร็จ



เชื่อหรือไม่!! 

สมองของมนุษย์เรานั้น มีความสามารถที่จะรวบรวมความคิดและประมวลภาพต่างๆ ด้วยความรวดเร็วเหนือกว่าคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่วันแรกที่เราเกิดมา สิ่งที่เราได้ฟังและเห็นนั้นได้ถูกโปรแกรมเข้าสู่สมองเรา ญาติ พี่น้อง เพื่อน สื่อต่างๆ นั้นมีบทบาทในการโปรแกรมตัวเรา และกำหนดการดำเนินชีวิตของเรา เช่นการใส่เสื้อผ้า อาหารการกิน ฯลฯ

ข่าวดีคือ!! 

เราไม่ใช่คอมพิวเตอร์ เราสามารถจะคิดและกำหนดเส้นทางการดำเนินชีวิตของเราเองได้ด้วยตัวเอง เรามีอำนาจที่จะเลือก ซึ่งเราจะต้องเริ่มใส่โปรแกรมจิตใต้สำนึกของเราในทัศนคติที่สร้างสรรค์ให้เร็วที่สุด จิตใต้สำนึกเราคิดเช่นไร ร่างกายของเราจะตกอยู่ภายใต้สภาวะเช่นเดียวกัน 

จิตใจเรานั้นเป็นได้ทั้งเพื่อนที่ดีที่สุดหรือเป็นศัตรูตัวร้าย 

ทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ตัวเรา จิตใจของเรากำลังรอพร้อมอยู่เสมอ เพื่อรองรับการตัดสินใจ เช่น เมื่อเรามีภาระจะต้องทำและคิดว่าเราทำไม่ได้ จิตของเราจะเข้าไปในหน่วยความจำและหาเหตุผลมากมายที่จะสนับสนุนเรา มันจะเตือนเราถึงเหตุการณ์หลายๆครั้งที่เราประสพความล้มเหลว เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของเราที่ว่าเราไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ ไม่มีทาง

ในทางตรงกันข้าม เรามองภาระเดียวกันแล้วบอกว่าเราทำได้ จิตใจของเรานั้นจะเข้าไปในหน่วยความจำและดึงเอาเหตุผลที่จะสนับสนุนเรา ถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เราเคยประสบความสำเร็จอย่างงดงาม มันจะบอกว่า เราทำได้ และไม่มีทางที่ท่านจะประสพความล้มเหลว

 
 ผู้ประสบความสำเร็จมีอะไรหลายๆ อย่างที่เหมือนกัน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การพัฒนาแนวความคิดในการเอาชนะ พวกเขามองโลกในแง่ดีและเรียนรู้การใช้พลังของจินตนาการในด้านบวก เขามองตัวเองประสบความสำเร็จไม่ใช่ความล้มเหลว 

ผู้ชนะเป็นผู้ทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น ผู้แพ้ยอมให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น เราพร้อมโปรแกรมตัวเองให้ประสพความสำเร็จแล้วหรือยัง


 

ธุรกิจ MLM และการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับธุรกิจนี้



         พูดให้ง่ายที่สุด....ธุรกิจเครือข่ายเป็นเพียงการตลาดอีกระบบหนึ่ง ในการกระจายสินค้าและบริการจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค แต่มีข้อแม้อยู่นิดเดียวคือ ธุรกิจนี้ปล่อยให้บุคคลธรรมดาเหมือนคุณและผมมีสิทธิ์ได้รับส่วนแบ่งผลกำไรนั้นด้วย

            ในระบบการตลาดธรรมดา หมายถึง การใช้เงินมหาศาลในการทำการโฆษณาต่อเนื่อง และจะต้องกระจายสินค้าผ่านตัวกลางในปริมาณมากทั้งพ่อค้าขายส่ง พ่อค้าขายปลีก แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะประสบความสำเร็จ
            
ในระบบการตลาดแบบเครือข่าย ผู้ผลิตแนะนำสินค้าหรือบริการของเขาในลักษณะโอกาสในการดำเนินธุรกิจ (ในลักษณะใกล้เคียงกับแฟรนไชส์) ให้แก่นักธุรกิจอิสระจำนวนมาก ผู้ผลิตมีหน้าที่ผลิตสินค้าและส่งมอบสินค้าในลักษณะเดียวกับการขายส่ง อำนวยความสะดวกด้านการส่งเสริมการขายและอุปกรณ์การขาย ดูแลระบบข้อมูลและการบัญชี รวมทั้งการช่วยเหลือด้านการอบรม ส่วนนักธุรกิจอิสระนั้นเพียงแนะนำผลิตภัณฑ์และโอกาสในการดำเนินธุรกิจกับบุคคลอื่น ซึ่งบุคคลเหล่านั้นจะแนะนำบุคคลอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดผู้บริโภคและผู้เข้าร่วมดำเนินธุรกิจมากขึ้น ๆ ทุกๆปี
            ลักษณะความเป็น “หุ้นส่วน” ของนักธุรกิจอิสระและตัวบริษัทเครือข่าย เป็นไปในลักษณะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน บริษัทได้ตัดงบประมาณจำนวนมากที่เคยใช้ในการขายและกระจายสินค้าและไม่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายงบประมาณด้านโฆษณาอีกต่อไป เพราะนักธุรกิจอิสระกำลังดำเนินการโฆษณาให้ในลักษณะ”ปากต่อปาก”


            แล้วเงินที่บริษัทประหยัดไปหลายสิบล้านบาทนั้นไปไหน?

            แน่นอนที่สุด บริษัทใช้เงินที่เก็บได้เหล่านั้น จ่ายให้กับนักธุรกิจอิสระที่มีส่วนร่วมในการกระจายสินค้าในลักษณะของคอมมิชชั่น สิ่งที่แตกต่างจากระบบการตลาดปกติคือ บริษัทจะทำการจ่ายก็ต่อเมื่อมีผลงานเป็นที่ปรากฏ คอมมิชชั่นจึงจะถูกจ่าย แต่นักธุรกิจอิสระแต่ละคนสามารถกระจายสินค้าได้ในปริมาณน้อย บริษัทเครือข่ายก็เปิดโอกาสให้เราแนะนำบุคคลอื่นเข้าสู่ธุรกิจ และจ่ายคอมมิชชั่นให้แก่เราด้วยในฐานะที่เราแนะนำผู้มีผลงานเข้าสู่ธุรกิจ และนี้คือข้อได้เปรียบในธุรกิจเครือข่าย ในระบบขายตรงธรรมดาผู้ที่จะประสพความสำเร็จส่วนใหญ่จะต้องเป็นนักขายที่มีความสามารถในการกระจายสินค้าได้ในปริมาณมากๆ แต่ในธุรกิจขายตรงระบบเครือข่ายนั้นเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม การประสพความสำเร็จในธุรกิจนี้หมายถึง การมีคนเป็นจำนวนมากช่วยกันกระจายสินค้าคนละเล็กคนละน้อย
            ข้อแตกต่างอีกข้อหนึ่งคือ ธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่การรับจ้างทำงาน แต่มันคือธุรกิจของท่านเอง ซึ่งท่านจะต้องบริหารงานตามวิธีที่ท่านเป็นผู้กำหนด ไม่สำคัญว่าท่านจะเข้าร่วมธุรกิจเมื่อใดแต่ท่านเริ่มต้นโดยมีตำแหน่งสูงสุดในบริษัทของตัวท่านเองและตำแหน่งนี้จะคงอยู่กับท่านตลอดไป
            ท่านทราบหรือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากท่านฝากเพิ่ม 1เท่าตัวทุกวัน โดยเริ่มจาก 1 สตางค์ในวันแรก ? ภายใน 15 วันท่านจะมีเงิน 163.84 บาท แต่ภายใน 30 วัน เงินนั้นจะมีปริมาณมากกว่า 5 ล้านบาท

        
การาถ่ายสำเนาตัวเอง หรือ การดำเนินการให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ท่านทำเป็นส่วนผสมที่สำคัญและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในธุรกิจเครือข่าย และเป็นเหตุผลที่สำคัญว่าทำไมธุรกิจเครือข่ายสามารถสร้างอิสรภาพทางการเงินให้แก่บุคคลหลายแสนคนทั่วโลกในขณะนี้ ลองนึกภาพดูว่า...หากท่านแนะนำธุรกิจให้กับสมชายในชลบุรีและสมชายแนะนำธุรกิจให้แก่นงเยาว์ที่เชียงใหม่ แล้วนงเยาว์แนะนำธุรกิจแก่บังอรที่อยู่ลพบุรี ทำให้สุนทรีที่อยู่จังหวัดตรังเข้าร่วมธุรกิจเครือข่าย โดยการแนะนำบุคคลเพียงคนเดียวเข้าสู่เครือข่าย ท่านกำลังสร้างปฏิกริยาที่ทำให้เกิดนักธุรกิจอิสระทำงานให้กับท่านในทางอ้อมทั่วประเทศไทย โดยการทำงานของบุคคลเหล่านี้ แต่ละคนกำลังร่วมกันกำหนดค่าตอบแทนให้แก่ท่านเป็นรายเดือน นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆเรื่องประสิทธิภาพของการถ่ายสำเนาตัวเองในธุรกิจเครือข่าย

            ท่านคิดว่าท่านสามารถแนะนำคนสักคนเข้าร่วมธุรกิจกับท่านในแต่ละเดือนได้มั้ย? หากท่านสามารถทำได้ ท่านสามารถเป็นบุคคลที่จะสำเร็จได้รับรายได้ที่คาดไม่ถึงในธุรกิจเครือข่าย นี่คือสาเหตุที่ทำไมธุรกิจ MLM จึงเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางในโลกปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

แสวงหาในทิศทางที่ถูกต้อง

ในปี 1994 รัฐบาลอังกฤษเปิดดำเนินการโครงการลอตเตอรี่แห่งชาติเป็นครั้งแรก มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์กันอย่างอึกทึกคึกโครมอย่างไม่เคยมีมาก่อน และในคืนแรกที่มีการจับรางวัลลอตเตอรี่นั้น ปรากฏว่ามีคนกว่า 25 ล้านคนที่เฝ้าชมรายการดังกล่าว

รายการดังกล่าวบอกว่าผู้ที่ถูกลอตเตอรี่จะได้รับเงินจำนวนมหาศาลการทำเช่นนี้ก็หมายความว่าการชนะหรือได้มาซึ่งเงินหลายล้านปอนด์นั้นเป็นภาพที่สะท้อนความสำเร็จ ความสุขของผู้ถูกรางวัลลอตเตอรี่ก็คือประสบการณ์ที่ได้รับจากการคว้าเงินนับล้านปอนด์และจากสิ่งสารพัดที่เขาจับจ่ายใช้สอยหาซื้อมาจากเงินรางวัลนั้น แต่หารู้ไม่ว่าในขณะที่รายการดังกล่าวได้รับการพัฒนามาเป็นระยะๆนั้น ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก ไม่เฉพาะต่อคนที่ถูกลอตเตอรี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงบรรดาแมงเม่าทั้งหลายที่ถูกอิทธิผลของสื่อครอบงำจากรายการนี้ด้วย

เพราะความมั่งคั่งด้วยวิธีการเช่นนี้ไม่ได้เกิดจาก การทำงาน ความวิริยะพากเพียง การใช้สติปัญญา ความสามารถและทักษะส่วนตัว แต่ด้วยการถูกลอตเตอรี่ ซึ่งเป็นเรื่องของความบังเอิญ ไม่ต่างอะไรเลยจากการเล่นการพนันที่ต้องเสี่ยงเพื่อให้ได้รางวัลมา ซึ่งหลายครั้งต่อหลายครั้งที่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เราเห็นว่าคนที่ชนะและได้เงินจำนวนมากไปครองนั้น ในที่สุดแล้วก็หาความสุขไม่ได้ เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน และอาจจะเป็นปีซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าคนที่ได้เงินมาด้วยวิธีนี้จะใช้จ่ายอะไร และทำอะไรต่อไป แต่ท้ายที่สุดความกดดันต่างหากที่ถาโถมเข้ามาจนครอบงำหมดสิ้น ครอบครัวอาจจะได้รับผลกระทบที่ไม่ดีจากบรรดาขอทานทั้งหลายแหล่หรือการที่จะต้องคอยแก้ตัวกับคนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกรบกวน และอาจจะต้องเจอกับพวกสิบแปดมงกุฎที่หาทางแบ่งเงินไปจากผู้ชนะให้ได้

นอกจากนั้นคนเหล่านี้ยังอาจจะต้องได้รับประสบการณ์ในการสูญเสียเพื่อนที่คบหากันมานานด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าเกิดความไม่สะดวกใจที่จะคบหากันได้อีก พวกเขาจะคิดว่าถ้าเพื่อนของตนเองมั่งคั่งขึ้นมาเช่นนั้น เขาก็ต้องแข่งขัน เพราะเพื่อนเก่าแก่เวลานี้มีรถใหม่ มีบ้าน เรือ หรืออะไรก็แล้วแต่ ทั้งที่ในความเป็นจริงลึกลงไปเพื่อนคนที่มั่งคั่งขึ้นมานั้นก็ยังเป็นคนๆเดิม หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวก็อาจจะนึกอิจฉาและแข่งขันด้วยก็เป็นไปได้

ที่ผมพูดทั้งหมดนี้เป็นการพูดด้วยความรู้สึกจากใจจริง ไม่ใช่เพราะว่าผมเคยหรือไม่เคยถูกลอตเตอรี่หรือพูดขึ้นมาอย่างลมๆแล้งๆแต่ว่านับตั้งแต่ที่ผมรู้ตัวเองว่าต้องการจะมีเงินมากๆนั้น ผมก็ใช้วิธีการทำงานอย่างหนักและด้วยความอุตสาหะ และตัวผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์ที่ถูกคนในครอบครัวเดียวกันอิจฉามาแล้ว ผ่านห้วงเวลาที่เพื่อนเก่าแก่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจในความสัมพันธ์ที่มีต่อมาแล้ว ผมแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยแสดงตนเองทำนองโอ้อวดแต่ก็ยังหนีไม่พ้น มันเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีค่ามากเหลือเกิน

ความสุขคืออะไร

ขอให้เรามาพิจารณาร่วมกันว่าคนเรานั้นจะมีความสุขได้ด้วยสาเหตุประการใดบ้าง

โดยหลักการแล้วความสุขเกิดขึ้นได้ 3 ทางได้แก่
1. คือการได้รับในสิ่งที่ตั้งใจไขว่คว้า
2. คือการแบ่งปัน
3. คือการทำให้คนอื่นมีความสุข

การไขว่คว้าบางสิ่งบางอย่าง
อย่างแรกการได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการอยากมีอยากได้ คุณเคยมีประสบการณ์การซื้อของใหม่อย่างเช่นคุณซื้อรถใหม่ป้ายแดงหรือรถมือสองก็แล้วแต่ เมื่อคุณตัดสินใจซื้อรถ ทางบริษัทก็มีกำหนดจะส่งม อบรถให้คุณภายใน 3 วัน แน่นอนคุณรู้สึกตื่นเต้น เหลืออีก 2 วันก่อนรับรถ ความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้น ก็เพราะมันไกล้เข้ามาแล้วนี่นา เหลืออีก 1 วัน หรือแม้แต่คืนก่อนวันมอบรถ ความตื่นเต้นยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ คุณอาจจะมีอาการนอนไม่หลับด้วยซ้ำ

แล้ววันที่รถใหม่ถูกส่งมอบถึงมือคุณก็มาถึง วันแรกที่ได้ครอบครองรถ คุณรู้สึกพอใจ สนุกสนาน และมีความสุข คุณจะคอยเล่นโน่นเล่นนี้สารพัดและจะเอาใจใส่รถใหม่อย่ามากเพื่อให้แน่ใจว่ารถจะไม่สกปรกจนดูไม่สวย ทุกครั้งที่คุณจอดและเดินผ่านมัน คุณจะหันกลับมามองมันครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้แน่ใจว่ารถไม่ไหล แต่ว่าสองสัปดาห์หลังจากนั้นล่ะ คุณมีความรู้สึกอย่างไรกับรถคันเดียวกัน ใช่แล้ว ทัศนคติของคุณเปลี่ยนแปลงไป ตอยนี้รถคันเดียวกันกับที่คุณหลงใหลได้ปลื้มมันก็เป็นเพียงรถคันหนึ่งเท่านั้น ความพอใจมักจะเกิดจากการได้เป็นเจ้าของหรือการได้รับ ซึ่งมาจาการไขว่คว้าหาเพื่อการเป็นเจ้าของในสิ่งนั้น สิ่งนี้สามารถอธิบายได้เกือบทุกอย่าง จากวันหยุดสำหรับการพักผ่อนดูรายการทีวีไปจนถึงการได้พบกับสิ่งที่ตนเองรัก แต่เราก็ยังจะเห็นว่าภาพที่ปรากฏบนจอทีวีนั้นล้วนเต็มไปด้วยภาพความขัดแย้งและการปล้นฆ่ากันของมวลมนุษย์ แต่ก็แน่นอนว่าภาพความเลวร้ายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญ ทั้งที่ไม่มีใครแอบตั้งความหวังว่าต้องเจอ รวมถึงคุณด้วย อย่าพยายามหาข้อแก้ตัวเสียให้ยากเลย

การแบ่งปัน
ทีนี้ก็มาพิจารณาพื้นฐานความสุขประการที่สองนั่นคือ การแบ่งปัน ลองนึกภาพว่าคุณออกไปรับประทานอาหารชั้นดีในภัตตาคาร บางทีอาจจะสั่งค็อกเทลพร้อมกุ้งทะเลใหญ่ กุ้งใกญ่เนื้อนิ่มจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีซอสแมรี่ โรส มาให้ด้วย นั่นคืออาหารชุดแรก เมนูชุดที่สองอาจจะเป็นสเต็กที่ถูกจัดมาอย่างดีพร้อมกับผักสดอละเครื่องเคียงชั้นดี ชุดที่สามอาจจะเป็น"gateau"จากแบล็คฟอเรสต์พร้อมด้วยครีมเจอร์ซี่สดๆ รายการอาหารเหล่านี้เสิร์ฟพร้อมกับเหล้าองุ่นชั้นดีจากเบอกันดี อะไรจะเป็นรายการอาหารที่วิเศษขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม การนั่งและรับประทานอาหารเหล่านี้เพียงคนเดียวย่อมไม่สนุกแน่ อาจจะเป็นความจริงว่าการได้ลิ้มลองอาหารรสเลิศนั้นสร้างความสุขความพอใจได้ แต่ว่าก็น้อย แต่บางทีเราจะเห็นว่าการรับประทานอะไรก็แล้วแต่จะไม่ให้รสให้ชาติอย่างที่ควรจะเป็น เหมือนกับเวลาที่เรามีใครสักคนที่มาร่วมนั่งรับประทานอาหารในโต๊ะเดียวกัน รับประทานอาหารไปคุยกันไปออกรสออกชาติดีแท้เชียว

ดังนั้น จริงๆแล้วการแบ่งปันต่างหากที่นำมาซึ่งความสุข ไม่ได้อยู่ที่รายการอาหาร ทีนี้พวกเราส่วนใหญ่ก็มั่งมีพอที่จะแบ่งปันสิ่งที่ชีวิตเราได้มาให้กับคนอื่นบ้าง ทำไมไม่เรียนรู้ที่จะแบ่งปัน บางคนกลับเลือกท่่จะแยกตัวเองออกไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือไม่ก็ถึงขั้นยอมอยู่โดยไม่สนใจไยดีญาติมิตรคนเราจำนวนไม่น้อยที่มีความสัมพันธ์ที่ดี และมีครอบครัวที่ดี ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถใช้เวลาได้อยู่ร่วมกัน สนุกสนานและมีความสุขได้ ในขณะที่หลายคนหาความสุขได้ผ่านการใช้ชีวิตกับสัตว์เลี้ยง หลายคนที่สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ที่กลายมาเป็นเป้าหมายในการดำรงชีวิตอยู่ของตัวเอง เป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องลุกขึ้นมาจากเตียงเพื่อมาดูแลมัน และแน่นอนว่าเป็นแหล่งสำคัญของตนเองในการพบปะติดต่อกับผู้คน

บางทีผมอยากจะย้ำในสิ่งที่บทความนี้จะบอกคุณอยู่เสมอ นั่นก็คือวา ความสนุกสนานที่ได้แบ่งปัน จะทำให้ความสนุกสนานนั้นเพิ่มเป็น 2 เท่า ส่วนความวิตกกังวล ถ้ายิ่งแบ่งปันก็จะเป็นความวิตกที่ยิ่งหนักเกินแบกรับ

การทำให้คนอื่นมีความสุข
ประการที่สามคือการทำให้คนอื่นมีความสุข มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่มีความสุขถ้าได้ทำให้คนอื่นมีความสุข และมันก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันที่จะไม่ประสบความสำเร็จถ้าหากคุณช่วยให้คนอื่นประสบความสำเร็จ และคนที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจหลายคนก็พิสูจน์สิ่งนี้มาแล้วโดยการช่วยเหลือให้คนอื่นประสบความสำเร็จทางการเงินมากขึ้น เขาก็จะได้รับความมั่งคั่งกลับคืนมามากยิ่งขึ้น

เมื่อตอนยังเป็นเด็ก คุณตั้งหน้าตั้งตารอวันเกิดและวันสำคัญของคุณ ที่รอก็เพราะว่ามันเป็นเวลาสำหรับความตื่นเต้น แปลกใจ และแน่นอนมีของขวัญ แต่พอคุณเติบโตมา ความตื่นเต้นและความพอใจกลับมาจากการเป็น"ฝ่ายให้"หรือทำให้เกิดความแปลกใจและให้ของขวัญเด็กๆ และบางครั้งเวลาที่เดินตามท้องถนน เรายิ้มมันช่างเป็นโลกที่สดใสอะไรเช่นนี้หากจะมีคนยิ้มกลับมาให้เรา ขอให้จำว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้คุุณมีความรู้สึกอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว หรือเป็นผู้จัดการคนหนึ่ง มันยอมเป็นการดีแน่ในการทำให้คนอื่นได้รับแต่สิ่งที่ดี ผมรับประกันว่าคุณจะได้รับความพอใจอย่างมากจากการทำสิ่งง่ายๆนี้

คุณจะใส่ใจจริงไหมล่ะ เราจะเห็นว่ามีโฆษณาของบริษัทจำหน่ายโทรศัพท์ที่พยายามเสนอภาพการติดต่อระหว่างกลุ่มเพื่อน และสมาชิกในครอบครัว มองด้านหนึ่งการโฆษณาเจตนาที่แท้จริงของมันคือการกดดันให้เราต้องทำให้"คนอื่น"เขามีความสุขด้วยการใช้บริการของเขา แต่ความจริงอีกด้านก็คือการทำให้คนอื่นมีความสุข สิ่งที่เราจะได้รับกลับคืนมานั้นเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่มาก

พื้นฐานของความสำเร็จ

ความสำเร็จ ความมั่งคั่ง และความสุข ทั้ง 3 อย่างนี้ หากได้รับการประกันว่าเราทุกคนจะต้องได้รับแน่ คงจะเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย เพราะเราทุกคนต่างเกิดมาพร้อมกับการตั้งความคาดหวังเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เอาไว้สูงตอนที่เรายังอยู่ในวัยเด็กทั้งความสำเร็จ ความมั่งคั่งและความสุขนี้จึงค่อนข้างเด่นชัดอย่างไม่มีข้อสงสัยและไม่มีการคัดค้านในใจของเรา แต่หลังจากนั้น เมื่อเราเติบโตขึ้นมาจากจุดเริ่มต้นที่อะไรๆ ก็มองในแง่ดีไปหมด เราเริ่มพบว่าชีวิตเต็มไปด้วยข้อจำกัด ทำให้พบว่ายิ่งเติบโตความฝันของเราก็ยิ่งหดเล็กลง

คำ 3 คำที่มีอานุภาพทั้งความสำเร็จ ความมั่งคั่ง และความสุข กลายเป็นสิ่งที่มีการเยาะเย้ย และสร้างความเคลือบแคลงสงสัยจากคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถเอื้อมถึง ไม่สามารถบรรลุได้และทำหลุดลอยจากมือไปมีเพียงคนแค่หยิบมือเท่านั้นที่ได้เชยชมมัน

ด้วยเหตุนี้ ขอให้ผมได้พยายามที่จะย้อนกลับไปทำให้ความคาดหวังในแง่ดีที่ปราศจากคำถามที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กให้เกิดขึ้นอีกครั้งและพาคุณออกเดินในเส้นทางที่ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ความมั่งคั่ง และความสุข และขอย้ำในที่นี้อีกครั้งว่าทั้ง 3 สิ่งนี้จะได้รับการรับรองว่า"ได้แน่" สำหรับคนที่พร้อมที่จะเดินตามเส้นทางที่ถูกต้องเส้นทางนี้ คุณมีเพียงเส้นทางนี้เพียงเส้นทางเดียวเท่านั้น ไม่ใช่เส้นทางฝึกหัดหรือลองกันเล่นๆ แต่เป็นเรื่องจริง....ของจริง

ลองหลับตาคิดดูว่า ในขณะที่กำลังขับรถในช่วงฤดูร้องคุณผ่านถนนมอเตอร์เวย์มาแล้ว เลี้ยวเข้าสู่ถนนเอ จากนั้นก็เข้าสู่ถนนบีและสุดท้ายพอตกกลางคืนก็พบว่าถนนข้างหน้านั้นเป็นเพียงถนนสายเดียว ไม่มีเส้นทางสายอื่นให้เลือกเดินหน้าต่อไป จะถอยหลังกลับไปก็ไม่ได้เพราะการเดินทางครั้งนี้มีชีวิตเป็นเดิมพัน ในขณะที่คุณกำลังเลี้ยว คุณก็ตัดสินใจหยุดรถ มองไปรอบๆ แล้วนึกในใจว่ามีความรู้สึกพอใจและมีความสุขกับสภาพแวดล้อมที่สวยสดงดงาม ในที่สุดก็ตัดสินใจหยุดพักเสียเลย ใกล้ๆกับการเดินทางที่จุดจบมีแต่ความตายนี้ คุณก็ได้พบกับบ้านร้างหลังหนึ่งเอาล่ะ มังคงเป็นการดีหากจะเข้าไปสำรวจดู และมั่นใจได้ว่ามันร้างอยู่จริงๆ เมื่อผนวกกับพฤกษชาติมากมายที่มีอยู่รายรอบ มันต้องอยู่ในสภาพนี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว

ในขณะที่มองผ่านหน้าต่างบานหนึ่งเข้าไป คุณสะดุดตากับประตูหลังบ้านที่ดูเหมือนจะเปิดอยู่ มันช่างกระตุ้นความรู้สึกชวนให้ต้องเข้าไปดูข้างในเพื่อดูให้ทั่ว มีรังนกจำนวนมากอยู่ในเตาผิง ใยแมงมุมเต็มไปหมดและความสกปรกก็ปกคลุมไปทั่วทุกพื่นที่ ภายในนั้นมีเฟอร์นิเจอร์ 1 หรือ 2  อย่างถูกทิ้งไว้ระเกะระกะปะปนกับเครื่องใช้ในครัว

ในการเดินขึ้นไปสำรวจบนขั้นบันได คุณเห็นทางเดินที่นำไปสู่ห้องใต้เพดานและยิ่งสำรวจมากยิ่งขึ้น ในมุมหนึ่งคุณเห็นสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นหีบสำหรับเดินทางบนเรือพร้อมกับแตรเหล็กวางอยู่ภายนอก มีกุญแจลูกใหญ่ล็อกเอาไว้ซึ่งคุณก็ตัดสินใจเปิดมันออกมา เพื่อสำรวจว่าในหีบนั้นมีอะไร

แรกทีเดียวดูเหมือนว่าจะเป็นหีบเปล่า แต่เมื่อสังเกตอย่างดีแล้วกลับเห็นแผ่นหนังโบราณเก่าๆผืนหนึ่งวางแอบอยู่ก้นหีบ เมื่อหยิบขึ้นมาแล้วเดินหาแสงสว่างเพื่อจะมองมันได้ชัดเจนขึ้น คุณพบว่ามันคือลายแทง ศึกษาอย่างดีแล้วพบว่าเป็นลายแทงที่บอกตำแหน่งที่ตั้งของขุมทรัพย์ล้ำค่า ลายแทงดังกล่าวบอกชัดเจนว่าขุมทรัพย์นั้นอยู่ที่ไหนและยังบอกวิธีการขุดมันขึ้นมาด้วย

ทีนี้ถ้าคุณเชื่อเป็นมั่นเหมาะแล้วว่านี้คือการค้นพบครั้งสำคัญในชีวิต คำถามก็คือคุณจะได้ขุมทรัพย์นั้นมาได้อย่างไร ผมขอแนะนำว่าอย่างแรกคือระงับความตื่นเต้นเอาไว้ก่อน จากนั้นค่อยคิดหาทางเตรียมการหาสมบัติ คุณก็ต้องเตรียมทุกขั้นตอนอย่างละเอียดที่สุด

เมื่อการเดินทางเริ่มต้นขึ้น คุณจะต้องไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจไม่พยายามหาทางลัด หรือเปลี่ยนการประเมินผลใดๆทั้งสิ้น เพราะคุณต้องเชื่อว่าคุณรู้ในสิ่งที่คุณทำดีกว่าใครทั้งหมด คุณต้องยึดมั่นในแนวทางที่วางไว้ ทุกๆขั้นตอนจะต้องมีการตรวจเช็คอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากสมบัติล้ำค่านั้นอยู่ลึกลงไปและคุณจะต้องลงมือขุด 6 ฟุต คุณจะต้องไม่หยุดอยู่แค่ที่ 4 ฟุตอย่างเด็ดขาด
ผมคิดเรื่องเปรียบเทียบนี้ขึ้นมาด้วยความเอาจริงเป็นอย่างมาก และในขณะที่คุณเริ่มต้นการเดินทางที่น่าเชื่อถือได้นี้ ไม่หันเหหรือไม่ยอมตัดช่องน้อยแต่พอตัวเลิกล้มกลางคัน ยอมหยุดอยู่แค่ 4 ฟุต ทั้งที่ความเป็นจริงคุณต้องขุด 6 ฟุต

ความแตกต่างที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องเปรียบเทียบไม่ได้มีอยู่เพียงแค่ว่าคุณเป็นคนที่ถือลายแทงขุมทรัพย์ล้ำค่าที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จในมือของคุณเองเท่านั้น แต่ว่าคุณยังสามารถแบ่งปันการค้นพบครั้งสำคัญนี้ร่วมกับคนอื่นด้วย เพราะขุมทรัพย์นั้นมันไม่มีวันหมด ความจำกัดเพียงอย่างเดียวก็คือการสร้างข้อจำกัดขึ้นกับตัวคุณเองและเพื่อนนักล่าขุมทรัพย์ของคุณ

ในเรื่องเปรียบเทียบข้างต้น ผมพูดถึงขุมทรัพย์ล้ำค่าที่ถูกฝังลึก แต่ในความจริงคุณสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ด้วยตัวคุณเอง ไม่ว่าสิ่งนั้นคุณอยากจะให้เป็นอะไรก็ตาม เมื่อคุณตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้ว คุณจะต้องมีเครื่องมือที่จำเป็น แต่พึ่งระลึกไว้ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม อย่าหาข้ออ้างและข้อแก้ตัวทั้งสิ้น เพราะข้ออ้างและข้อแก้ตัวต่างๆนั้นถูกนำมาใช้เป็นเครื่องบังหน้าหรือตัดสินผลจากการที่คนๆนั้นไม่สามารถประสบความสำเร็จอะไรในชีวิต

ผมสัญญาต่อคุณว่าบทความทั้งหมดนี้จะสามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ดังที่คุณต้องการและตั้งความหวังไว้ ตราบเท่าที่คุณยังรู้สึกว่าความสำเร็จที่ไม่ก่อให้เกิดความสุข ย่อมไม่มีความหมาย

ถ้าคุณต้องการใช้หลักการในบทความนี้เพื่อสร้างความมั่งคงทางการเงินหรือสร้างตัวเองให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน ก็จงทำตามนี้ ถึงแม้ว่าหลักการส่วนใหญ่ในนี้จะไม่ใช่ของใหม่ แต่ผมรู้ว่ามันใช้ได้ผล เพราะมันใช้ได้ผลสำหรับผมและคนอื่นๆมาแล้ว

6 มุมมองสำคัญต่อการพัฒนาตนเอง

1. ขั้นแรกของการจะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงคือการรู้ตัว ขั้นที่สองคือการยอมรับ

การที่คุณจะเปลี่ยนแปลงตนเองได้ ต้องเริ่มต้นจากการรู้ก่อน ซึ่งคุณอาจรู้ตัวจากการวิเคราะห์ตนเองหรือจาการสะท้อนของใครบางคน เมื่อรู้ตัวแล้ว คุณจะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ อยู่ที่คุณยอมรับว่าคุณเป็นแบบนั้นและจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ถ้าคุณมาไม่ถึงขั้นที่สองคุณจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตนเองได้

2. คนเราไม่มีทางทำผลงานได้เกินกว่ามุมมองที่เขามองตนเอง

มุมมองที่มีต่อตนเอง มีผลต่อโลกภายในของคนคนนั้นถ้าคุณมีมุมมองด้านลบต่อตัวคุณเอง คิดว่าคุณเป็นคนไม่เอาไหน ไม่เก่ง ไม่สำเร็จ ทำอะไรก็ไม่เป็น คุณก็จะไม่มีพลังแห่งความเคารพนับถือตนเอง สิ่งที่คุณลงมือกระทำในโลกภายนอก ก็จะได้ผลลัพธ์อยู่ในระดับเดียวกับมุมมองที่คุณให้ค่าให้ราคาต่อตัวคุณเอง

3. เมื่อคนเราตั้งข้อจำกัดในสิ่งที่ตัวเองจะลงมือทำ ก็เท่ากับเขาจำกัดความสามารถของตัวเองแล้ว

คนส่วนใหญ่ตั้งข้อจำกัดเพื่อล้อมกรอบตัวเองไว้ตั้งแต่ต้นจึงทำให้เขาใช้ศักยภาพของตัวเองน้อยมาก ทั้งๆที่เขามี ความสามารถที่แอบแฝงอยู่อีกมากมาย แต่ไม่ได้ดึงออกมาใช้เลย ดังนั้น ถ้าคุณต้องการชีวิตที่มีความสำเร็จมากขึ้น คุณก็ต้องขยายวงสิ่งที่คุณจะลงมือทำให้กว้างขึ้นในที่สุดคุณก็จะมีความสามารถในการทำสิ่งนั้นได้

4. ความผิดพลาดเป็นแค่อีกวิธีหนึ่งของการทำสิ่งต่างๆ

คนที่สร้างความยิ่งใหญ่ในโลกใบนี้ ล้วนแล้วแต่เคยผิดพลาดมาก่อน จงอย่าแปลความผิดพลาดเป็นความล้มเหลวมันเป็นแค่อีกวิธีที่ไม่ได้ผล อย่ากลัวที่จะผิดพลาด เรียนรู้จากมัน เพื่อให้คุณมีความก้าวหน้าในชีวิตมากขึ้น

5. ปรัชญาการดำเนินชีวิตของบุคคลหนึ่งไม่อาจถ่ายทอดออกมาได้ดีที่สุดทางคำพูดแต่จะแสดงออกมาในสิ่งที่บุคคลนั้นตัดสินใจ เลือกในระยะยาวคุณคือผู้สร้างชีวิตของคุณและคุณคือผู้สร้างตัวคุณเอง

สิ่งที่คุณพูด ไม่สำคัญเท่าสิ่งที่คุณทำ คุณสร้างชีวิตของคุณจากการลงมือทำในสิ่งที่ส่งเสริมชีวิตคุณทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดังนั้น จงจำไว้ว่า อย่าดีแต่พูด พูดแล้วต้องทำเป็นแบบอย่างเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมด้วย 

6. คุณต้องรู้จักตัวเองก่อน จึงจะพัฒนาศักยภาพได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาก่อนถึงจะได้รู้จักตัวเอง

คุณมีความรู้จักตัวเองในระดับหนึ่ง จากนั้นเริ่มต้นพัฒนาศักยภาพ ในขณะที่คุณพัฒนาตัวเอง คุณก็ยิ่งรู้จักตัวคุณเองมาขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาศักยภาพยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ดังนั้น จงอย่ารีรอในการพํฒนาตนเองและจงลงมือทำอย่างต่อเนื่อง


" คนส่วนใหญ่ตั้งข้อจำกัด

                  เพื่อล้อมกรอบตัวเองไว้ตั้งแต่ต้น

                                    จึงทำให้เขาใช้ศักยภาพ

                                                      ของตัวเองน้อยมาก"

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

7 คำถาม เพื่อยกระดับการเป็นผู้นำของตัวคุณ

คำถามที่ 1 คุณเป็นใคร ?

คำถามนี้อาจจะดูง่ายๆ แต่ตอบยากมากและที่สำคัญกว่านั้นก็คือคำตอบที่คุณให้เป็นเอกลักษณ์ของตัวคุณ ซึ่งเป็นความแตกต่างของตัวคุณเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นๆในโลกใบนี้และมันบอกถึงระดับผลกระทบที่คุณมีต่อผู้อื่นได้ด้วย เพราะถ้าคุณนิยามชีวิตในวงจำกัด คุณก็จะมีผลลัพธ์ชีวิตในวงจำกัด แต่ถ้าคุณนิยามชีวิตโดยมีจุดมุ่งหมายที่ไกลกว่าตัวคุณเอง คุณก็จะมีพลังในการสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ หากคุณยังคิดคำตอบที่โดนๆ ไม่ออก ลองมาดูว่า คำตอบของผมเป็นตัวอย่างนะครับ ผมเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตผู้คน เป็น CEO ที่ยกระดับและเป็นโค้ชที่ช่วยให้ผู้คนใช้ศักยภาพแห่งตนได้อย่างเต็มที่ เป็นต้น

 คำถามที่ 2 ค่านิยมและความเชื่อของคุณเป็นแบบไหน ?

 

คนส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่ามีค่านิยมในการดำรงชีวิตอย่างไร อีกทั้งยังไม่รู้ว่ากำลังอยู่กับความเชื่อแบบไหนอยู่ เมื่อไม่รู้ในสิ่งที่เป็นระบบหลักของชีวิต ก็มักจะใช้ชีวิตไปตามมีตามเกิดหรือพยายามสู้ชีวิต แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งการที่คุณจะสร้างชีวิตได้นั้นนอกจากคุณต้องออกแบบชีวิตว่าคุณเป็นใครแล้ว ค่านิยมและความเชื่อของคุณต้องสอดคล้องกับเอกลักษณ์ของตัวคุณด้วย เช่น หากคุณนิยามตนว่าคุณเป็นผู้นำผู้ประสบความสำเร็จและได้ใจคนคุณต้องมีค่านิยมเรื่องความไว้วางใจได้ ความสำเร็จ การแบ่งปัน การเรียนรู้ การเติบโตและความรัก อยู่ในอันดับต้นๆ และมีความเชื่อว่าคุณสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ๋ ลองตอบตัวคุณเองนะครับ

คำถามที่ 3 คุณมีความสามารถอะไรบ้าง ?

 

คุณรู้หรือไม่ว่า การจะประสบความสำเร็จในอาชีพหรือธุรกิจ สิ่งที่คุณรู้มันถูกต้องหรือไม่ยังมีอะไรที่ขาดเหลืออยู่ คุณต้องเติมความรู้และพัฒนาความสามารถอะไรที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คุณต้องมีความรู้ความสามารถนั้นเมื่อไหร่

คำถามที่ 4 พฤติกรรมของคุณเป็นอย่างไร ?

 

ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณมีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับนิยามความเป็นตัวคุณ สอดคล้องกับค่านิยมความเชื่อและความสามารถที่คุณมีหรือไม่ ถ้าสอดคล้องต้องกันทุกระดับ คุณก็จะสามารถสร้างความสำเร็จได้แน่นอนขึ้น ถ้าไม่สอดคล้องเลย คุณก็จะไม่มีวันที่จะเป็นคนคนนั้นได้

คำถามที่ 5 คุณสร้างสิ่งแวดล้อมหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ?

 

ถ้าคุณตอบคำถามข้อ 1-4 ได้ชัดเจนและเป็นคำตอบที่มีคุณค่า คุณก็จะเป็นผู้สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่ถ้าคุณเป็นคนไม่ชัดเจน คุณก็จะวิ่งหาสิ่งแวดล้อมช่วย ในที่สุดคุณก็ไปต่อยาก เพราะไม่มีสิ่งแวดล้อมไหนทำให้คนที่ไม่มีความชัดเจนในตนเองประสบความสำเร็จ

คำถามที่ 6 คุณได้มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ใครเปลี่ยนชีวิตบ้าง ?

 

หากคุณมีระดับความเป็นผู้นำที่เหมาะสม คุณต้องเคยช่วยสนับสนุนใครบางคนให้มีชีวิตที่เปลี่ยนไปเพราะนั่นหมายถึงผลกระทบเชิงบวกที่ผู้นำมีต่อผู้อื่น และระดับความสำเร็จของตัวคุณ ก็วัดได้จากจำนวนคนที่คุณสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชีวิตผู้อื่น ยิ่งส่งผลต่อคนจำนวนมากขึ้นคุณก็จะยิ่งประสบความสำเร็จมากขึ้น

คำถามที่ 7 คุณจะทำอะไรที่แตกต่างและมีผลกระทบมากไปกว่าที่ผ่านมา ?

 

คุณจะมีอาวุธแตกต่างจากปีที่ผ่านมาหรือไม่ คุณจะทำอะไรมากขึ้น จะทำอะไรให้น้อยลงจะริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ และจะเลิกทำอะไร โดยมองไปยังคุณค่าที่คุณจะส่งมอบเพื่อสร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้อื่น

4 คุณสมบัติสำคัญของผู้นำผู้ชนะ

1. ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนที่มีความคิด

การจะเป็นผู้นำผู้ชนะได้ ต้องเริ่มต้นจากระบบคิดก่อน ซึ่งต้องเป็นระบบคิดที่ต้องมองภาพองค์รวมเป็นหลัก ไม่ใช่คนที่เริ่มต้นคิดว่า ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรเพื่อให้ตนเองได้อะไร แต่จะคิดเสมอว่าสิ่งที่จะทำ ส่งผลกระทบกับใครบ้าง และจะมุ่งความคิดไปในทิศทางที่เกิดผลดีขึ้นต่อทุกๆ ฝ่ายที่อยู่ในห่วงโซ่เดียวกัน นอกจากนั้น ยังต้องเป็นผู้มีความคิดที่มองเห็นจุดหมายปลายทางอย่างมีวิสัยทัศน์ มีความคิดในเชิงการกำหนดทิศทาง ในเชิงการวางแผนและเชิงการวิเคราะห์ เพื่อให้สามารถปรับตัวได้ในสภาวะการณ์ต่างๆ หากผู้นำเป็นคนที่มีความคิดเป็นพื้นฐาน ก็ถือว่ามีคุณสมบัติหนึ่งในสี่ที่จะสร้างชัยชนะได้

2. ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนมีค่านิยมที่ถูกต้อง

ค่านิยมในตัวผู้นำ เป็นสิ่งที่กำกับการตัดสินใจทำหรือไม่ทำในเรื่องต่างๆ หากผู้นำมีค่านิยมที่ผิดๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะเลือกทำในสิ่งที่ผิดได้ ดังนั้น ผู้นำที่จะสามารถสร้างชัยชนะที่ยั่งยืน จึงต้องมีค่านิยมในเชิงส่งเสริมความยั่งยืน อันได้แก่ ค่านิยมในการเลือกทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง ค่านิยมในการเคารพกติกาสังคม ค่านิยมในการทำงานเป็นทีม ค่านิยมในการเคารพและปฏิบัติตามกฏจรรยาบรรณ ค่านิยมแห่งการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ค่านิยมแห่งการสร้างความสำเร็จ ค่านิยมแห่งการทำให้ดีกว่าเดิมเสมอ ค่านิยมแห่งการมุ่งมั่นทุ่มเท ค่านิยมแห่งความซื่อสัตย์และไว้วางใจได้ เป็นต้น

3. ผู้นำผู้ชนะต้องเป็นคนมีพลัง

สภาวะอารมณ์เป็นตัวกำกับสำคัญในการใช้ความรู้ความสามารถของตัวผู้นำและคนอื่นๆ ดังนั้น ผู้นำที่ขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตจึงจำเป็นต้องเป็นคนที่อยู่ในสภาวะอารมณ์เปี่ยมพลัง พร้อมๆกับเป็นคนที่จุดประกายพลังให้แก่คนอื่นได้ด้วย เมื่อผู้นำมีพลังและจุดประกายพลังให้ผู้อื่นก็จะทำให้องค์กรนั้นเป็นองค์กรที่เปี่ยมพลัง มีบรรยากาศที่ดีคนในองค์กรก็จะสามารถสร้างผลงานได้ดีขึ้น

4. ผู้นำผู้ชนะต้องมีความกล้าหาญ

ผู้นำผู้ชนะต้องมีความกล้าหาญ การนำพาองค์กรไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืนผู้นำต้องกล้าทำในสิ่งที่ต้องทำ บางครั้งต้องให้ใครบางคนออกจากองค์กรเพื่อให้องค์กรไปต่อในระยะยาวได้ ต้องกล้าที่จะพูดคุยกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา ต้องกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยเพราะพวกเขาอาจจะยังมองไม่เห็น และต้องกล้าที่จะยอมรับความจริงเพื่อการปรับเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า


อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเป็นยังไงบ้าง เกิดความมั่นใจมากขึ้นในการยกระดับตนเอง เพื่อเป็นผู้นำผู้ชนะหรือยังครับ ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าคุณตั้งใจและเอาจริงในการพัฒนาให้ตัวคุณเป็นผู้นำผู้ชนะ คุณสามารถเป็นได้อย่างแน่นอน ขอให้มีพลังในการสร้างและขับเคลื่อนผู้คน ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เส้นชัย

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การบรรลุความปรารถนาเรื่องเงิน เรื่องทอง


สวัสดีครับ ผู้อ่านที่รักทุกท่าน ผมจะขอแบ่งปันเรื่องของเงินๆ ทองๆ เป็นเรื่องราวสั้นๆ เชิญติดตามกันดูครับ

คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง

ข้อเท็จจริงในโลกใบนี้ที่ผมและคุณโต้เถียงไม่ได้เลย ก็คือ ในแต่ละปีที่ผ่านไป คนรวยส่วนใหญ่ยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่คนจนส่วนใหญ่ยิ่งจนลงความเป็นจริงของชีวิตข้อนี้เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมจำนนไปแล้ว และไม่คิดว่าจะสามารถฝืนมันได้ อย่างไรก็ตาม ความสวยงามในการเป็นมนุษย์ยังมีอยู่ เพราะมีคนจนผู้กล้าที่สามารถเอาชนะชีวิต จนสามารถยกระดับเป็นคนรวยได้ จึงเป็นหลักฐานพิสูจน์ทราบที่เชื่อได้ว่า คนจนไม่จำเป็นต้องยิ่งจนลง
เคล็ดลับสำคัญของการกลายเป็นคนรวยขึ้นอยู่ตรงความคิดที่ว่า " ความคิดที่สม่ำเสมอ จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ " ซึ่งคนส่วนใหญ่จะมีระบบคิดที่ไม่รู้ตัวว่า กำลังคิดโดยมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ไม่ต้องการ เช่น ความขาดแคลน การมีเงินไม่พอใช้หนี้ ไม่พอจ่ายค่าเทอมลูก เป็นต้น ส่วนคนรวยจะคิดถึงแต่โอกาสในการหาเงินได้มากขึ้น การลงทุนที่งอกเงย และมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ต้องการมากกว่า ดังนั้น จึงไม่แปลกที่คนรวยยิ่งรวยขึ้น คนจนยิ่งจนลง หากคุณมีสติและกลับทิศทางของความคิดที่คุณกำลังมุ่งความสนใจได้คุณสามารถเป็นคนรวยคนต่อไปได้ครับ

คุณเป็นเหตุ ไม่ใช่เป็นผล

ชีวิตของคุณเป็นอย่างไร เป็นผลที่เกิดในชีวิตโดยมีตัวคุณเป็นเหตุ ดังนั้นคุณจึงต้องรู้จักแยกสมการระหว่างตัวคุณคือเหตุ และผลลัพธ์ชีวิตของคุณคือผล ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนผลลัพธ์ คุณก็ต้องเปลี่ยนตัวคุณซึ่งเป็นเหตุก่อน โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจก่อนว่า ความร่ำรวยเริ่มต้นจากความนึกคิด ไม่ได้เริ่มจากสมุดบัญชีเงินฝาก ถ้าความมั่งคั่งเป็นสิ่งที่คุณต้องการ คุณก็ต้องมีพิมพ์เขียวทางการเงินของผู้มั่งคั่ง อย่ามีพิมพ์เขียวของคนจน อย่ามีพิมพ์เขียวของนักกู้ที่มีหนี้สินรุงรัง คุณคงเคยเห็นสามล้อถูกรางวัลที่หนึ่ง สามปีผ่านไปกลับมาจนเหมือนเดิม หรือ นักมวยเหรียญทองโอลิมปิคบางคน ไม่สามารถรักษาเงินสามสิบสี่สิบล้านไว้ได้ นั่นเป็นเพราะพิมพ์เขียวทางการเงินของพวกเขามีปัญหานั่นเอง ถ้าคุณต้องการเป็นคนมั่งคั่ง คุณคิดว่าคุณคู่ควรกับเงินจำนวนเท่าไหร่จงยกระดับความคู่ควรของคุณอย่างต่อเนื่อง จงสร้างความรู้สึกคู่ควรกับการมีรายได้หลักแสนจนถึงหลักหลายแสนต่อเดือน เพราะเงินแต่ละระดับจะมาหาคนที่เชื่อและรู้สึกว่าเขาคู่ควรเท่านั้น

สร้างความมั่งคั่งจากจินตนาการ 

ไอสไตน์บอกว่า " จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ " ซึ่งใช้ได้กับการสร้างความมั่งคั่งด้วย ถ้าคุณไม่มีจินตนาการ ก็เท่ากับว่าคุณให้อดีตของคุณนำพาปัจจุบันและอนาคตของชีวิต ชีวิตคุณก็จะไม่ได้อะไรที่แตกต่างจากอดีต ดังนั้น จงกล้าที่จะจินตนาการ มองให้เห็นภาพคนสำเร็จในตัวคุณ เข้าให้ถึงความรู้สึกว่าคุณมั่งคั่ง จากนั้นลงมือทำอย่างมุ่งมั่น ในที่สุดคุณก็จะเป็นเจ้าของชีวิตที่มีเงินทองมากขึ้น มีชีวิตที่มีความหมายมากขึ้น มีความสำเร็จและมีความสุขมีมากขึ้นอย่างแน่นอนครับ